30 ตุลาคม 2551

ส่วนที่ขาดหายไปจากตามรอยควาย (ต่อ)






ต่อมาคาราบาวไปสังกัดอะโซน่า แล้วออกเทปชุด “วณิพก” ชุดนี้เป็นเรื่องเลย เพลงมันดังมาก รายการโลกดนตรี ก็ติดต่อให้คาราบาวมาเล่น นักดนตรีคาราบาวแบกเครื่องดนตรีมาเอง ไม่มีใครมาช่วย กลองชุดก็ยังปุปะเก่าๆ ในใจเราก็คิดว่า- นี่แหละวงเพื่อชีวิตจริงๆ



วันที่คาราบาวเล่นครั้งแรกนั้น มีคนดูเรียกได้ว่ามหาศาล มันเป็นสัญญาณอย่างหนึ่งบอกให้เรารู้ว่า วงนี้กำลังจะมาแล้ว คนในวงการดนตรีตอนนั้น ทั้ง พี่แก้ว (บุญชาย ศิริโภคทรัพย์) คุณระย้า ใครต่อใครต่างก็ฟันธงว่า วงนี้ดังแน่นอน ต่างกับวงดนตรีอื่นๆ ที่เชิญมาเล่น คนแน่นบ้าง น้อยบ้างสลับกันไป แต่คาราบาวมาครั้งใด-แน่นทุกครั้ง

โลกดนตรี มีกติกาตั้งแต่เริ่มทำรายการว่า ทุกวงที่มาออกอากาศจะได้รับค่ารถ หรือค่าตอบแทนรายละ ๒,๐๐๐ บาท ทุกวงได้เท่ากันหมด ไม่ว่าจะเป็นวงอะไร เพราะมันยากลำบากพอสมควรที่จะพิจารณาว่า วงไหนดังต้องให้มากกว่า วงไหนไม่ดังให้น้อยกว่า เลยตัดสินใจให้เท่ากันหมดทุกวง คาราบาวก็ได้สองพันบาทเหมือนกัน

อย่างที่ตอนต้นว่า-คาราบาวเป็นวงที่สปิริตสูงมาก จริงจังกับการเล่น ก่อนเล่นจะมาทดลองเสียง พวกเขามากันตอนกลางคืนก่อนเล่นหนึ่งวัน-เป็นมืออาชีพจริง ๆ ตั้งเสียงเอง แล้วก็ซ้อมจนกว่าจะพอใจ เมื่อทำงานแบบนี้ ทีมงานโลกดนตรีก็มั่นใจ พี่แก้ว (บุญชาย ศิริโภคทรัพย์) เคยบอกว่า-คาราบาวเป็นวงดนตรีที่มีวินัยมาก วงอื่นๆ จะมาเซ็ทเครื่อง ลองซ้อมกันตอนสายๆ ก่อนออกอากาศเวลาเที่ยงครึ่ง ความมีสปิริต และวินัย ..จึงเป็นอีกเรื่องหนึ่งที่อยากพูดถึงพวกเขา

ความสนุกของคนผลิตรายการไม่ว่าจะเป็นตอนบันทึกเทป หรือถ่ายทอดสดเพลงของคาราบาว นั่นคือ การ "ตะครุบภาพ" สมัยก่อนการบันทึกเทปหรือถ่ายสด จะใช้กล้อง ๔ ตัว วางด้านซ้าย ด้านขวา แล้วก็ Long Shot ตรงกลาง.. โดยมีกล้องฟรี-แฮนด์เทลไปทั่วบริเวณอีกหนึ่งตัว

ที่เราต้องเรียกว่าตะครุบภาพ เพราะดนตรีที่คาราบาวเล่น มันสอดรับกันทุกชิ้น โดยเฉพาะ เทียรี่ กับ เล็ก ..คู่นี้เวลาเล่นกีต้าร์จะเล่นขี่กัน...กัดกันไปกัดกันมา คือคาราบาวเล่นดนตรีจริงๆ เล่นกันทั้งวง ต่างจากดนตรีของวงอื่น ที่เราจะรู้ล่วงหน้าเลยว่า ท่อนร้อง-ท่อนโซโล่อยู่ตรงไหน กล้องก็ตามไปรอเก็บภาพ มันง่ายมาก แต่สำหรับคาราบาวนั้นไม่ใช่ ดนตรีที่คาราบาวเล่น จะมีลูกตอดไปทางโน้นตอดไปทางนี้ มือกล้องเลยตะครุบภาพของคาราบาวยากมาก เพราะไม่รู้ว่าใครจะเล่นตอนไหน ทุกคนที่ทำงานจึงสนุก-ได้ลับฝีมือของตัวเอง เคยคุยกันเล่นๆ กับพี่แก้วว่า.. ถ้ามันยากนัก ก็ตั้งกล้องมันทีเดียวเจ็ดตัวเฝ้าแต่ละคนของคราบาวไว้เลย แต่มันทำไม่ได้หรอก !!!!!!



พอชุดวณิพก เริ่มดัง-แล้วคนรู้จักกันทั้งประเทศ ปัญหาตามมาในตอนนั้น คือคาราบาวควบคุมเครื่องมือการสื่อสารของตัวเองไม่ได้ คือ ไม่มีช่องทางที่จะสื่อสารผลงานไปสู่แฟนเพลงกลุ่มใหญ่ พอวณิพกดัง..เพลงชุดแรกชุดสองก็กลับมาด้วย ศักยภาพทางการสื่อสารของคาราบาวจึงถูกเติมเต็มโดย-วาสนา ศิลปิกุล (แต๋ว) ที่มีสื่อวิทยุรายการ “แว่วหวาน” อยู่ในมือ ร่วมด้วย..(เซ็นเซอร์) ที่ร่วมวางแผนโปรโมทให้ทางโทรทัศน์ เพลงชุดประวัติศาสตร์อย่าง "เมดอินไทยแลนด์" จึงเกิดขึ้นด้วยความร่วมมือในระบบธุรกิจที่เป็นขั้นตอน



ถ้าจะให้นับความเป็นคาราบาวจริงๆ น่าจะนับที่ชุดนี้ เพราะก่อนหน้านั้น อาจเป็นเพียงงานทดลองทางดนตรี และงานทดลองทางการตลาด-การขาย น่าเสียดายที่การทำงานร่วมกันของคาราบาวกับแกรมมี่ จบลงเพียงแค่ชุด “เมดอินไทยแลนด์” เพราะปัญหาเรื่องผลประโยชน์

ชุดเมดอินไทยแลนด์โด่งดังมาก คาราบาวออกเดินสายทัวร์ทั่วประเทศ ไปภาคเหนือก็ไปกัน ไปอิสานก็ไปกัน ลงใต้ก็ไป คือเดินสายไปแต่ละครั้งใช้ระยะเวลานาน ทีมงานที่อยู่กรุงเทพ ก็ส่งปกเทปไปให้บริษัท (เซ็นเซอร์) ปั๊มออกขาย ส่งปกไปเท่าไหร่เราก็จะรู้ยอดขาย เรียกว่าการ "ตัดปก"

และจากการที่ออกทัวร์เดินสายไปทั่ว คาราบาวจึงรู้ว่าเทปชุดนี้ เจาะลงไปถึงคนระดับตำบล ยอดขายจะต้องมหาศาลแน่ แต่พอตรวจสอบยอดกับคนจัดจำหน่าย ปรากฏว่ามียอดแค่-ล้านเจ็ดแสน ผิดกับที่คาราบาวประมาณการว่า เมดอินไทยแลนด์ต้องไม่น้อยกว่า ๓ ล้านม้วน

และอีกปัญหาหนึ่งเกิดขึ้นเพราะบริษัท (เซ็นเซอร์) ที่ทำโปรโมท- ไปขึ้นราคาหน้าปกเทปที่ส่งให้บริษัท (เซ็นเซอร์) ผู้ผลิตออกขาย บริษัทนี้ เมื่อถูกขึ้นราคาปกมาก็ไปขึ้นราคากับรายย่อยอีกต่อหนึ่ง กลายเป็นว่าทั้งสองบริษัทได้ส่วนเพิ่มจากราคาขาย-แต่คาราบาวได้เท่าเดิม โดยถูกอ้างว่าเป็นไปตามสัญญาที่ตกลงกันไว้ตั้งแต่แรก ทั้งๆ ที่คาราบาวน่าจะได้เพิ่มบ้างตามสมควร ก็เลยกลายเป็นชนวนให้ผิดใจกัน

เกร็ดเล็กๆ อีกเรื่องเกี่ยวกับชุดนี้ คือ คาราบาว เป็นวงดนตรีวงแรกในประเทศไทยที่มีโลโก้ของสปอนเซอร์อยู่บนปกเทป แล้วก็มีจิงเกิ้ลสั้นๆ เกี่ยวกับสินค้านั้น เป็นเพลงอยู่ท้ายม้วน

"ในความเห็นส่วนตัว ที่สุดยอดที่สุดคือชุด ๗ ประชาธิปไตย เมดอินไทยแลนด์นั้น จะสุดยอดในส่วนของยอดขาย แต่ถ้าเป็นเรื่องเนื้อหาและดนตรีนั้น ประชาธิปไตยจะเป็นชุดที่เรียกว่าได้ว่า ‘เนี้ยบมาก’ แต่ยอดขายมันไม่ได้ตามที่คิดไว้”


อเมริโกยกับประชาธิปไตยเป็นชุดที่มีกลิ่นการเมืองแรงมาก ทั้งสองชุดอาจจะมีอิทธิพลหลงเหลือมาจาก-เมดอินไทยแลนด์ ก็ตรงที่ตอนทำชุดเมดอินฯ นั้น มีเพลง "เหลือ" ที่ไม่สามารถใส่ในอัลบั้มได้ เช่น ซาอุดร ก็ต้องเอามาใส่ไว้ในอัลบั้มต่อมา



เพลงคาราบาว ชุดที่ ๑-๕ นั้น ทำตามอุดมการณ์ของตัวเอง อันนี้ชัดเจนมากๆ คนฟังก็ตามคาราบาวเพราะเห็นว่าเพลงเขาพูดถึงความใกล้ตัว มันทำให้คาราบาวกับคนฟังได้ใกล้ชิดกัน

ถึงชุดที่ ๖ คาราบาวเริ่มหนีคนฟังไปพูดเรื่องการเมือง การทหาร เนื้อหามันหนักขึ้น แต่คนฟังก็ยังพอตามทัน

พอชุดที่ ๗ ประชาธิปไตย ..คาราบาวยิ่งหนีคนฟังออกไปอีก ด้วยสีสันของดนตรีที่มีอีเล็คโทรนิกส์เข้ามาเกี่ยวข้องมากขึ้น คนฟังก็เริ่มลังเล ว่าจะตามไปทันหรือเปล่า เปรียบเทียบง่ายๆ ก็เหมือนคาราบาวเป็นคนขับรถคันหนึ่ง คนฟังก็ขับอีกคันหนึ่ง ขับตามกันมา กินลมชมวิวกันไปเรื่อยๆ พอช่วงหนึ่ง-คาราบาวเหยียบคันเร่งหนี แล้วเลี้ยวโค้งหายไปเลย ไม่คอยคนฟังเลย แม้จะเห็นไฟท้ายอยู่แว่บๆ แต่คนขับตามมาก็ไม่รู้ว่าข้างหน้าจะเป็นอย่างไร จะหลุดโค้งหรือเปล่า..ก็เลยลังเล ไม่กล้าตาม การติดตามเพลงของคาราบาวจึงอาจจะน้อยลงในช่วงชุดที่ ๖ และ ๗ ดังเปรียบเปรย เป็นเพราะแฟนเพลงยุคแรกๆ ยังติดอยู่กับโฟล์ค เสียงกีต้าร์ เครื่องเคาะธรรมดาๆ ไม่คุ้นกับดนตรีอีเล็คโทรนิกส์ ชุดประชาธิปไตยจึงน่าจะเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญทางดนตรีของคาราบาว แต่เมื่อเห็นว่า-คนฟังชักตามไม่ทันแล้ว..ยอดขายมันไม่ดี

ชุดถัดมา ๘-๙ ..ก็กลับมามีกลิ่นของความเป็นไทยมากขึ้น กลับมาชะลอรถ..รอคนฟังเหมือนเดิม

สำหรับการทำงานของคาราบาว หากเราสังเกตให้ดีจะพบว่า เพลงใหม่ของคาราบาวจะออกมาในราวเดือนพฤศจิกายนหรือต้นเดือนธันวาคมของทุกปี

มันมีสาเหตุที่ตรงที่-คาราบาว "หนีฝนเข้าถ้ำ" คือ เมื่อถึงเวลาออกทัวร์เดินสายก็ไปกัน แต่พอเข้าหน้าฝน..มันออกทัวร์ไม่ได้ ก็พากันเข้าห้องอัดทำเพลง จะมีเพลงที่เคยเตรียมไว้ก่อนบ้าง หรือไปเจอวัตถุดิบใหม่ๆ ระหว่างทัวร์บ้าง ก็จะเข้าห้องบันทึกเสียง-ทำดนตรีกันในช่วงหน้าฝน ใช้เวลาราว ๒ เดือนก็สามารถส่งมาสเตอร์เทปให้บริษัทจัดจำหน่ายได้ และระหว่างนี้-ก็วางแผนโปรโมท ผลงานออกมาในช่วงเดือนพฤศจิกายนหรือธันวาคมพอดี หลังจากนั้นก็ออกทัวร์กันใหม่ ..เป็นวัฏจักรของคาราบาว

ทั้งหมดที่บอกข้างต้นคือ..
ส่วนหนึ่งจากประสบการณ์ตรงของ-อาจารย์มานพ แย้มอุทัย และเมื่อกล่าวถึงวงดนตรีคาราบาวที่เคยเข้าไป "คลุกวงใน" อยู่ในช่วงเวลาหนึ่ง

"ถ้าจะถามถึงอุดมการณ์...แน่นอนว่า-พวกเขามีอยู่แล้ว การเดินสายออกทัวร์ เปิดการแสดงให้คนทั้งประเทศรับรู้ว่าคาราบาวคิดอะไร และสื่อสารออกมาด้วยเพลงอย่างไร และทำมาตลอด ๒๕ ปี นั่นคืออุดมการณ์ สิ่งที่คาราบาวเปิดการแสดงไปทั่วทุกมุมของเมืองไทย ก็จะได้เก็บเกี่ยวเรื่องราว -เก็บเกี่ยวปัญหา หรือสิ่งที่พบเห็นมาเป็นวัตถุดิบ เพื่อนำมาบอกเล่าไปให้ประชาชนอีกฝั่งหนึ่ง หรืออีกกลุ่มหนึ่ง ที่ไม่เคยรู้ ไม่เคยเห็น ได้รับรู้ว่ายังมีเพื่อนร่วมชาติอีกส่วนหนึ่งที่ยังมีปัญหา

เมื่อ “แอ๊ด คาราบาว”..เจอสิ่งเหล่านี้ ก็จะบันทึก-เขียนเป็นกลอนบ้าง เขียนเป็นโครงเรื่องไว้บ้าง แล้วเมื่อถึงเวลาก็เอามาตีแผ่ นั่นแหละคืออุดมการณ์"


เพราะถ้าเทียบกับวงดนตรีอื่นๆ...เขาเขียนเพลงกันอย่างไร? แค่นั่งอยู่ในห้องแล้วจินตนาการ หรือเอาเรื่องอกหักรักไม่เป็นของคนอื่นมาเขียนเป็นเพลง มันก็ได้แค่ถ่ายทอดอารมณ์...แต่มันไม่ได้ถ่ายทอดชีวิต และหนักไปกว่านั้นก็คือ- เอาเพลงเก่ามาทำใหม่ หากมองไกลไปถึงเรื่องความคิดสร้างสรรค์ ที่เป็นปัจจัยหนึ่งในการกำหนดความฉลาดของคนในชาติแล้วละก้อ.. เมื่อทำเพลงกันแบบนี้...แล้วประเทศชาติจะพัฒนากันได้อย่างไร ?? เด็กรุ่นใหม่ก็ไม่คิดจะสร้างงานใหม่ขึ้นมา เพราะมีตัวอย่างที่ประสบความสำเร็จอยู่แล้ว ก็เลยกลับไปเอาเพลงเก่ามาทำดนตรีใหม่ซะงั้นแหละ

ที่มันน่าเจ็บปวดที่สุดคือ.. เมื่อ..”สุเทพ วงศ์กำแหง” ขึ้นเวที ร้องเพลง “ครวญ” (เมื่ออยู่ริมฝั่งชล.....ฉันยลทุกยามเย็น) เด็กสมัยนั้น-ดันบอกว่า “เอาเพลงของ-แซม ซิกเซ้นต์-มาร้องทำไม ??” แม้แต่สมัยใหม่นี้ - “พอเริ่มไปไม่เป็น”-ขายเทปไม่ได้ ก็กลับมาเอาเพลงเก่าขึ้นมาหากินกันอีก (เซ็นเซอร์) ก็เคยออกอัลบั้ม (เซ็นเซอร์) ที่หลายๆ คนเอาเพลงสุนทราภรณ์มาร้องกัน คีรีบูน ฟรุ้ตตี้ บรั่นดี ก็เป็นไปแล้วทั้งนั้น ที่เล่าให้ฟังก็อยู่ในฐานะที่เป็นนักหนังสือพิมพ์และนักวิจารณ์ จึงเห็นว่ามันไม่ค่อยถูกสักเท่าไหร่

พอหันมาดูคาราบาว จะเห็นว่า-วงนี้มีการพัฒนาอย่างต่อเนื่อง มันแตกต่างจากวงอื่น..ต่างจากคนอื่น ประกอบกับต้องยอมรับด้วยว่า นอกเหนือจากความแหลมคมในการถ่ายทอดเนื้อหาที่คาราบาวไปประสบมาแล้ว แอ๊ด คาราบาว..ยังเป็นนักการตลาดตัวยงอีกด้วย แต่เพลงของคาราบาวก็ยังยืนอยู่บนพื้นฐานของอุดมการณ์เหมือนเดิม



ถึงวันนี้ ..๒๕ ปีผ่านมาแล้ว..คาราบาวก็ต้องเปลี่ยนแปลง เพื่อให้ตัวเองยืนอยู่บนถนนดนตรีอยู่เรื่อยๆ มันฝืนไม่ได้ เพราะมันมีการแข่งขันกันหมดในทุกวงการ เพลงก็มีค่ายเพลง..ค่ายเพลงก็ทำโฆษณามีมิวสิควิดีโอเพื่อให้กลุ่มเป้าหมายมาซื้อ

ทุกอย่างเป็นธุรกิจและเป็นการแข่งขันที่มีเดิมพันสูงมากๆ เพราะฉะนั้น-ถ้าคาราบาวจะเปลี่ยนแปลงตัวเอง เพื่อให้มีโอกาสได้ทำเพลงออกมาอย่างสม่ำเสมอ ตามวิถีทางของคนที่มีอาชีพเป็นนักดนตรี ก็เป็นเรื่องที่น่าจะยอมรับกันได้

เพลงชุด“หนุ่มบาว-สาวปาน” ก็เป็นอีกทางออกหนึ่งของวงการเพลงไทย ไม่ผิดหรอกที่คาราบาวจะทำแบบนี้ กับ “ปาน (ธนพร)”

ในเมื่อ “เบิร์ด” ยังมีอัลบั้ม..กับเสก..กับจินตหรา มันเป็นอาชีพของคนในวงการเพลงที่บางครั้งต้องการทำสิ่งใหม่ๆ บ้าง

เราต้องยอมรับการเปลี่ยนแปลงนะ ทุกวงการมันต้องเปลี่ยน-ให้ทันสังคม คาราบาวก็ไม่ยกเว้น การเปลี่ยนแปลง..มันต้องมีคนที่ไม่ยอมรับเสมอ..อันนี้ต้องทำใจ

ส่วนเรื่องอุดมการณ์ที่พูดกันมากนั้น ในระยะหลัง “คาราบาว” ก็ยังมีอยู่...หากฟังจากเพลงของคาราบาวให้ดีดี ก็ไม่ได้ทิ้งเนื้อหาเดิมๆ ที่เคยสร้างความยิ่งใหญ่ให้คาราบาว

ทั้งหมดนั้นคือ..
บทสรุปของประสบการณ์ที่ใช้ชีวิตช่วงหนึ่งอยู่กับคาราบาว
แม้วันนี้..“มานพ แย้มอุทัย” จะถอยห่างออกมาอยู่วงนอก
แต่ “คาราบาว” ก็ยังเป็นความทรงจำที่ดีของผู้ชายผมสีดอกเลาคนนี้

และปิดท้ายด้วยความเห็นเกี่ยวกับดุษฎีนิพนธ์ของ “วรัตต์”
จากคนชื่อ “มานพ” ..ระบุว่า


“มันเป็นการรวบรวมงานครั้งใหญ่ครั้งแรกของคาราบาวเท่าที่เคยได้สัมผัสมา บางเรื่องที่อ่านเจอ-ก็เป็นเรื่องที่ลืมไปแล้ว จึงขอบคุณที่มีคนคิดทำงานนี้ / มานพ แย้มอุทัย

1 ความคิดเห็น:

ไม่ระบุชื่อ กล่าวว่า...

ขอบคุณสำหรับข้อมูลดีๆ