25 ธันวาคม 2551

แอ๊ด คาราบาว ขอเปิดใจผ่านแถลงการณ์

แอ๊ด คาราบาว ขอเปิดใจผ่านแถลงการณ์
"สถานการณ์หลังม็อบหยุดลงและรัฐบาลใหม่"

ยืนยง โอภากุล หรือ แอ๊ด คาราบาว เล่าเรื่องการเมืองของเขาผ่าน
เว็บไซต์ www.carabao.net เหตุผลไม่ไปม็อบ

"....ผมไม่ได้มีสมองเหมือนแม่ยก คือเลือกที่จะรักจะเชื่อ
โดยไม่ดูเหตุดูผล"




ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ยืนยง โอภากุล หรือแอ๊ด คาราบาว ได้ออกแถลงการณ์ กรณีสถานการณ์หลังม็อบหยุดลงและรัฐบาลใหม่
อยู่ในเว็บไซต์ www.carabao.net โดยมีใจความว่า...

"ที่ผมไม่ได้ออกไปร่วมม็อบพันธมิตรกับเขา ก็เพราะผมมีความคิดเห็นเป็นของตัวเอง คือผมมีมวลชนที่ศรัทธาคาราบาวค่อนข้างเยอะ อย่างเดือนพฤศจิกายนตลอดทั้งเดือนผมเล่นทุกคืน รวมคนดูแสนถึงสองแสนคน ทุกคนได้ยินผมพูด และผมจะพูดแสดงความเห็นทางการเมืองทุกคืน ผมพูดตลอดให้ม็อบ เสื้อเหลืองเสื้อแดงเลิกทะเลาะกัน ถ้าคุณรักในหลวงต้องสามัคคีปรองดองกัน หันหน้ามาคุยกัน เพื่อแก้ปัญหาประเทศชาติ การที่คุณออกมาม็อบก็เพราะเหตุผลชอบหรือไม่ชอบทักษิณเท่านั้น คุณเห็นแค่ด้านเดียว การเมืองในระบอบประชาธิปไตยวันนี้ต้องการแก้ไขที่ตรงปัญหาระดับบูรณาการ ม็อบนั้นทำได้แค่ไล่คนให้พ้นตำแหน่ง พ้นไปเดี๋ยวก็กลับมาใหม่ หรือมีคนใหม่มาแทน แล้วคุณจะออกไปไล่ ออกไปตายกันได้ตลอดไปได้ยังไง ผมเห็นใจมวลชนทั้งเสื้อเหลืองเสื้อแดงที่ออกมาขณะนั้น ผมว่าพวกเขาฟังด้านเดียวแล้วสู้ มันเป็นการต่อสู้ที่ถึงกับต้องเสียสละชีวิตเลยด้วยซ้ำ แต่มันเป็นการเสียสละที่คุ้มค่ากันอย่างนั้นหรือ ลองคิดดูให้ดี"


และอีกอย่าง กับผู้นำม็อบบางคนของพันธมิตร ผมยิ่งไม่เชื่อในสิ่งที่เขาพูดและทำ คือผมคิดของผมเองว่า เขามีวาระซ่อนเร้น จะเรื่องผลประโยชน์หรือเรื่องอะไรก็สุดแล้วแต่ ซึ่งต่างจากผู้นำม็อบเสื้อแดงที่เขาแสดงชัดเจนว่าทำเพื่อนายใหญ่ไม่ต้องสงสัย ผมจึงไม่ศรัทธาที่จะเข้าร่วมตั้งแต่ครั้งแรกแล้ว แต่ทุกคืนที่ผมไปแสดง ผมก็ใช้เวทีของผมอธิบายให้แฟนๆ ของผมรู้จักการวางตนในสถานการณ์เช่นนี้ มิให้ตกเป็นเครื่องมือของฝ่ายหนึ่งฝ่ายใด

ถ้าอยากเห็นบ้านนี้เมืองนี้มีประชาธิปไตยที่สมบูรณ์แบบอารยะ ต้องอดทนอดกลั้น ใจร้อนใจเร็วไม่ได้ นี่คือการไปม็อบของผม ม็อบของผมเป็นม็อบสอนให้คนรักใคร่ ปรองดอง สันติวิธี ใช้ความคิดมากกว่าความโกรธ เกรี้ยวกราด ด่าทอ ใส่ไข่ใส่ความ ผมไม่ทำ ไม่ปลุกระดมเช่นนั้น

เห็นไหมว่าผมไม่ได้นิ่งเงียบอย่างที่ผู้คนเข้าใจว่า แอ๊ด คาราบาว หายไปไหน ผมไม่ได้หาย นั่นไม่ใช่เวที ของผม ผมมีเวทีของผมเองทุกคืนไม่มีวันหยุด อย่างที่โบนันซ่า เขาใหญ่ในวันนั้น ผมก็พูด แต่เกริ่นนำด้วยการหยอกเล่น ก็แค่เอาเรื่องจริงมาพูดเท่านั้น
ผมคิดว่าผมพูดเป็นกลางที่สุดแล้วด้วยในวันนั้น คุณโจกับ คุณต๊อก (ทัศพล แบเลเว็ลด์ กับ สันติสุข คล่องใช้ยา) 2 CEO ของไทยแอร์เอเชียมาอยู่หลังเวทีคอนเสิร์ต เขาบอกผมแบบติดตลกว่า

“พี่ ผมตกงานแล้ว วันนี้เลยได้มาดูพี่เล่น อยากเมาให้กลิ้งไปเลย”


เขาบอกม็อบปิดสนามบินแค่ 2 วัน ผู้โดยสารคืนตั๋วทั้งหมด 25,000 ใบ เขามึนหัวไปหมดแล้ว ไม่เคยคิดมาก่อนว่าคนไทยจะกล้าทำกันเองขนาดนี้ ฝรั่งมันไม่เข้าใจมันด่าเช็ดไปเลย

“พี่เล่นให้มันๆ เลยนะ วันนี้ผมจะดิ้นด้วย”


แล้วที่ผมพูดคืนนั้นผมก็ไม่ได้กินเหล้าเมา เพราะเลิกมา 6 เดือนแล้ว ฉะนั้นผมพูดด้วยสติ ให้คนได้เก็บไปคิดกันเอง โดยเฉพาะแฟนๆ ของคาราบาวที่ติดตามกันมายาวนานเขาก็ดูอยู่ในคืนนั้น แต่พอเขากลับมาดู ASTV ทีหลัง ซึ่งตัดภาพคำพูดเฉพาะบางส่วนของผมมาออกอากาศ เขาก็โทรมาบอกผมว่าอย่างนี้มันไม่แฟร์เลย ผมบอกไม่เป็นไร สนธิก็ไม่แฟร์กับทักษิณ ทักษิณก็ไม่แฟร์กับผมเรื่องไข้หวัดนก แต่จะทำยังไงได้เขามีสื่ออยู่ในมือ

ถ้าสังคมไทยวันนี้จะมีสมองเหมือนแม่ยก คือเลือกที่จะรักจะเชื่อโดยไม่ดูเหตุดูผล เราจะไปทำอะไรได้ ก็ต้องเรียนรู้ที่จะอยู่กับมันไป แล้วสักวันหนึ่งคนคงจะได้เห็นความจริงด้วยตนเอง

อย่างตอนนี้รัฐบาลคุณอภิสิทธิ์ก็ทำท่าจะลุยงานด้านประชานิยม กองทุนต่างๆ โดยให้คุณเนวินไปจัดการ เพราะคุ้นเคยกับคนอีสานดีอยู่แล้ว เห็นไหมล่ะว่าเขายังฟังผมเลย หรือถ้าไม่ได้ฟังก็คงคิดแบบเดียวกับผม เพราะอะไร ก็เพราะเราล้วนแต่ปรารถนาดีต่อชาติบ้านเมืองและประชาชนส่วนใหญ่ อยากเห็นคนอีสานก็ดี เหนือใต้ก็ดี ที่เป็นรากหญ้าของประเทศ 65-70 เปอร์เซ็นต์ของไทย มีชีวิตที่ลืมตาอ้าปากได้

เมื่อก่อนประชาธิปัตย์เป็นรัฐบาลมาแล้วก็ไม่เคยทำ วันนี้ไม่ทำไม่ได้แล้ว ต้องทำให้กว่านั้นเข้าไปอีก คือทำให้เขาได้บรรเทาเบาบางความทุกข์ยากก่อน แล้วทำให้เขายืนได้ด้วยลำแข้งของตัวเองในอนาคต ซึ่งจะเป็นงานที่หนักเท่าใด รัฐบาลนี้ก็ต้องทำให้สำเร็จถ้าอยากอยู่นานๆ อย่าไปลูบหน้าปะจมูกเพียงเพื่อหาเสียง หมดยุคนั้นไปแล้วครับ แม้จะรู้ว่าบรรยากาศการเมืองสีเทาครอบคลุมอยู่แต่ผมก็ให้โอกาสพวกเขาบริหารประเทศ แต่คุณสนธิกลับไปมองว่าผมเชียร์ทักษิณ ผมเป็นพวกเสื้อแดง

เพราะฉะนั้นพันธมิตรพวกเสื้อเหลืองอย่าไปเลือก อาจารย์แก้วสรร อติโพธิ เป็นผู้ว่า กทม. เพราะจะมี แอ๊ด คาราบาว เป็นรองผู้ว่า (หัวเราะ) เรื่องนี้ผมอธิบายได้ ส่วนจะเลือก อ.แก้วสรร หรือไม่เลือก อ.แก้วสรร ก็ค่อยว่ากัน ผมเห็นว่า อ.แก้วสรร เป็นคนดี ซื่อสัตย์สุจริต เคยมีผลงานด้านนี้ สังคมก็ยอมรับ เมื่อคิดจะลงสมัครรับเลือกตั้งเป็นผู้ว่า กทม. อ.แก้วสรร ก็ติดต่อผมมา ในฐานะเครือญาติ ให้ผมช่วยแต่งเพลงสนับสนุนการเลือกตั้งของแกให้ ผมเห็นว่าไม่มีอะไรเสีย ถ้าคน กทม. จะได้คนดีๆ ไปเป็นผู้ว่า กทม. ก็น่าสนับสนุน ต่อไป กทม.จะได้ไม่ต้องเป็นกังวลเรื่องโกงกินแบบที่ผ่านมา แต่ทางทีมงานของ อ.แก้วสรร หวังในตัวผมค่อนข้างสูง อยากให้ผมเข้าไปช่วยงานด้านวัฒนธรรม เพราะเห็นว่าผมเคยใช้ดนตรีทำงานกับชุมชนสลัมที่มีปัญหายาเสพติดมาก่อน ผมก็บอกไปว่าถ้ามีเวลาก็จะช่วย แต่ไม่ได้ต้องการตำแหน่งอะไรทั้งสิ้น เพราะผมไม่เคยคิดเล่นการเมืองกับเขา

ผมเป็น แอ๊ด คาราบาว ก็ใหญ่โตพอแล้วครับ พอคุณสนธิตีข่าวเรื่องนี้ ผมก็เลยต้องออกแถลงการณ์ให้ชัดเจนเพื่อให้คนที่กำลัง จะเลือก คิดจะเลือก และยังไม่คิดเลือกได้ตัดสินใจบนพื้นฐานที่ถูกต้อง นั่นคือเลือกไปเลย ไม่เกี่ยวกับผม ถ้าได้ ผมก็ปวารณาตัวไว้แล้วว่าจะไม่รับสักตำแหน่ง ไม่ว่าจะเป็นแค่ที่ปรึกษาก็ตาม การที่คุณสนธิเอาเรื่อง 2 เรื่องนี้มาโยงกัน เป็นการกระทำของเด็กจริงๆ ผมคิดว่าเขาดูถูกแม้กระทั่งคนเสื้อเหลืองใน กทม.ด้วยซ้ำไป

สุดท้ายที่ผมกล้าให้สัมภาษณ์เครือมติชนในครั้งนี้เพราะเห็นว่าม็อบเลิกไปแล้ว แต่จะกลับมาอีกหรือเปล่าผมไม่รู้ คำพูดของผมในครั้งนี้คงไม่มีผลต่อการเคลื่อนไหวในขณะนั้นของพวกเขาแล้ว ถ้าผมสวนคุณสนธิกลับในวันนั้นเลย คนที่ได้ประโยชน์อาจเป็นทักษิณก็ได้ ผมจึงนิ่งไว้กระทั่งวันนี้

เอาเป็นว่าต่อไปนี้ สนธิกับผมหายกัน ต่อไปถ้ามีม็อบพันธมิตรอะไรอีกก็อย่ามาเรียกร้องหาผม คุณคงรู้จุดยืนของผมแล้วว่าคิดอย่างไร ผมมีม็อบของผมทุกคืนครับ ไม่จำเป็นต้องไปม็อบที่ไหนอีกแล้ว แต่ไม่แน่รัฐบาลคุณอภิสิทธิ์นี้ ผมว่าน่าจะมีม็อบไก่ชนไปเยี่ยมบ้างก็น่าจะดี จะได้รู้ความแตกต่างจากรัฐบาลทักษิณ อย่างน้อยก็ได้รู้ว่าจะคล้อยตามข้าราชการตามคำร่ำลือหรือเปล่า เอาไว้ถ้ามีจะบอกก่อนเนิ่นๆ ครับไม่ต้องตกใจ


แอ๊ด คาราบาว
19 ธันวาคม 2551

หมายเหตุ : ข้อมูลทั้งหมดดังกล่าวนี้จะลงในหน้าหนังสือพิมพ์มติชนเร็วๆนี้ โปรดติดตามอีกครั้งครับ ขอขอบคุณคุณพี และหนังสือพิมพ์มติชน สำหรับข้อมูลแถลงการณ์ฉบับนี้ด้วยครับ

มติชนออนไลน์ วันที่ 25 ธันวาคม พ.ศ.2551